ในโลกของการผลิต ทุกนาทีมีค่า แต่สิ่งที่หลายโรงงานมักมองข้ามคือ Downtime หรือเวลาที่สายการผลิตต้องหยุดทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือทั้งวัน ผลกระทบที่ตามมาอาจรุนแรงกว่าที่คาดคิด หลายครั้งที่ผู้บริหารหรือฝ่ายจัดซื้อเลือกใช้เครื่องมือราคาถูกโดยหวังว่าจะช่วยประหยัดต้นทุน แต่ในความเป็นจริงกลับสร้าง ต้นทุนแฝง ที่สูงกว่าการลงทุนในเครื่องมือคุณภาพหลายเท่า
Downtime คือช่วงเวลาที่สายการผลิตหยุดเดิน ไม่ว่าจะเกิดจากเครื่องมือพัง เครื่องจักรขัดข้อง รออะไหล่ที่ไม่ตรงสเปก หรือแม้แต่การขาดการบำรุงรักษาที่ดี สิ่งเหล่านี้มักถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่แท้จริงแล้วมันคือ จุดรั่วไหลของกำไร ที่หลายโรงงานไม่เคยนับรวมในบัญชีต้นทุนจริง
ค่าแรงที่เสียเปล่า – พนักงานยังต้องได้รับค่าจ้าง แม้สายการผลิตหยุดเดิน
ค่าเสียโอกาส – การส่งมอบล่าช้า อาจทำให้เสียลูกค้าหรือสัญญาสำคัญ
ค่าล่วงเวลา – เพื่อชดเชยการหยุดงาน โรงงานต้องจ่าย OT เพิ่ม ซึ่งสูงกว่าค่าแรงปกติ
งานเสีย (Rejects) – เมื่อเครื่องมือเสียกลางคัน งานบางส่วนอาจไม่ผ่าน QC ต้องทิ้งหรือผลิตใหม่
ค่าโลจิสติกส์ซ้ำซ้อน – การสั่งอะไหล่ด่วนเพื่อแก้ปัญหา มักมีค่าขนส่งที่สูงกว่าปกติ
ภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น – ลูกค้าอาจตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของโรงงาน หากส่งมอบไม่ตรงเวลา
จากการสำรวจโรงงานในอุตสาหกรรมการผลิต พบว่า:
Downtime 1 ชั่วโมง สามารถสร้างความเสียหายตั้งแต่ 50,000 – 500,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทอุตสาหกรรม
หากหยุดงาน 1 วันเต็ม มูลค่าความเสียหายอาจเท่ากับกำไรทั้งเดือน หรือในบางกรณีอาจมากกว่านั้น
โรงงานที่มี Downtime เพียง 5% ของเวลาทำงานทั้งปี อาจสูญเสียรายได้รวมเป็นหลักสิบล้านบาท
โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งหนึ่งเคยใช้เครื่องมือราคาถูกเพื่อลดต้นทุน แต่กลับต้องหยุดสายการผลิตเฉลี่ย 30 ชั่วโมง/ปีเนื่องจากเครื่องมือพังกลางคัน ส่งผลให้เสียรายได้รวมกว่า 2 ล้านบาทต่อปี ภายหลังโรงงานตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้เครื่องมือยุโรปที่มีมาตรฐาน แม้ราคาสูงขึ้น แต่ Downtime ลดเหลือไม่ถึง 5 ชั่วโมง/ปี และสามารถประหยัดต้นทุนรวมได้กว่า 40% ภายใน 2 ปี
เลือกเครื่องมือที่ทนทานและตรงสเปก – ป้องกันปัญหาเสียกลางคันที่ไม่จำเป็น
วางแผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) – ตรวจสอบและเปลี่ยนอะไหล่ตามรอบที่เหมาะสม
ทำงานกับซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ – เพื่อให้มั่นใจว่ามีอะไหล่และเครื่องมือพร้อมส่งตลอดเวลา ไม่ต้องรอของนาน
อบรมพนักงาน – ให้รู้วิธีใช้งานเครื่องมือและเครื่องจักรอย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดของคน
ใช้ระบบติดตามข้อมูล (Monitoring System) – เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพเครื่องจักรและเครื่องมือแบบเรียลไทม์ ทำให้คาดการณ์ปัญหาได้ล่วงหน้า
Downtime ไม่ใช่แค่การหยุดสายการผลิตชั่วคราว แต่มันคือ ต้นทุนแฝง ที่กัดกินกำไรโดยที่หลายโรงงานไม่รู้ตัว การลงทุนในเครื่องมือคุณภาพสูง การเลือกซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ และการบริหารจัดการเชิงรุก คือกุญแจสำคัญในการป้องกันความสูญเสียเหล่านี้
เพราะเวลาที่สายการผลิตหยุดเดิน กำไรของโรงงานก็กำลังหยุดตามไปด้วย และต้นทุนที่แท้จริงอาจสูงกว่าที่คุณคาดคิดหลายเท่า
สนใจสั่งซื้อหรือสอบถามเพิ่มเติม:
ปลอดภัย มั่นใจ ได้มาตรฐานเยอรมัน 100%
จากการที่ Hoffmann Group จะต้องมีการจัดเก็บสินค้าและส่งสินค้าไปมากกว่า 200 สาขาทั่วโลก เลยจำเป็นต้องมีการจัดการเรื่องคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพ ทีมงาน HM Group เลยอยากนำวิธีการบางส่วนมาแบ่งปันกัน
การบริการ "workstations and storage solutions" ของHM Group สามารถให้บริการตั้งแต่เริ่มต้นงานดีไซน์จนกระทั่งจบกระบนการติดตั้ง และในทุกๆขั้นตอนเรามีมุ่งมั่นเพื่อที่จะให้คุณได้รับคุณภาพและการที่งานที่ดีที่สุด บนต้นทุนที่ดีที่สุดเช่นกัน
ประแจ เป็นเครื่องมือที่ใช้แรงบิดที่สำคัญ ใช้สำหรับจับ ยึด ขัน หรือคลายหัวสกรู นอต สลักเกลียว และท่อประแจจะมีรูปร่าง ขนาด และความยาวแตกต่างกัน
เครื่องมือช่างที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะเป็นช่างมืออาชีพ หรือมือสมัครเล่นที่จำเป็นจะต้องมีติดบ้านไว้ นั่นก็คือ สว่าน เนื่องจากเป็นเครื่องมืออุปกรณ์พื้นฐานที่สามารถใช้ได้กับงานหลากหลายทั่วไป เรียกว่า เป็นเครื่องมือที่ใช้ง่าย ใครๆก็สามารถใช้ได้
ประแจปอนด์ (Torque Wrench) เป็นเครื่องมือที่ใช้ตั้งค่าแรงบิด ค่าทอร์คเพื่อการไขน็อต หรืออุปกรณ์ยึดต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ไขแน่นเกินไป หรือหลวมเกินไป
เครื่องมือช่างบ้างชิ้นที่ขายกันอยุู่ตามท้องตลาดทุกวันนี้ต่างก็มีฟังก์ชั่นพิเศษเป็นเอกลักษณ์ในแต่ล่ะรุ่นและในแต่ล่ะแบรนด์ เพื่อตอบโจทย์ให้เข้ากับลักษณะงานของช่าง ในปัจจุบันเราใช้งานอุปกรณ์ช่างพื้นฐานอย่างไขควงกันในงานหลายประเภททำให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ