ในปัจจุบันมลพิษทางอากาศมีปัญหามากขึ้นทุกวันเพราะฉะนั้นเราจึงต้องหาอุปกรณ์มาป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้เราต้องเจ็บป่วยจากมลพิษทางอากาศ หน้ากากที่ป้องกันมลพิษนั้นมีหลายประเภทตามลัษณะการนำไปใช้ในสภาวแวดล้อมต่างๆ ดังนี้
หน้ากากอนามัย
การ ไอ จามแต่ละครั้งจะทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายออกไปได้ไกลถึง 3 ฟุต และมีชีวิตลอยปะปนอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดมีโอกาสได้รับเชื้อ จากงานวิจัยขององค์การอนามัยโลกพบว่า การใส่หน้ากากอนามัยสามารถลดการแพร่กระจายของอณูเล็กๆ ที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนได้ถึงร้อยละ 80 ควรใส่หน้ากาก อนามัยเมื่อจำเป็นต้องออกไปในที่ชุมชนหรือต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นในที่ สาธารณะ เช่น ห้องเรียน ห้องทำงาน ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ โรงแรม โรงพยาบาล รถโดยสาร เครื่องบิน โดยเฉพาะในห้องปรับอากาศ ฯลฯ แต่ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่คนเดียว วิธีที่จะช่วยป้องกันทั้งการแพร่เชื้อและการติดเชื้อได้ก็คือ การใช้หน้ากากอนามัย และการล้างมือบ่อยๆ
การเลือกใช้หน้ากากอนามัย
หน้ากากอนามัยมีด้วยกันหลายชนิดการเลือกใช้อย่างเหมาะสมจะสามารถป้องกันการติดเชื้อทางเดินระบบหายใจ และยังสามารถป้องกันอันตรายจากพิษของฝุ่นบางประเภทได้ด้วย หน้ากากป้องกันการติดเชื้อที่ดีต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- สามารถกรองที่มีขนาดตั้งแต่ 1µ ประสิทธิ์ภาพในการกรอง 95% ที่อัตราการไหลเวียนของอากาศ 50 ลิตร/นาที(คำอธิบาย ขนาดของเสมหะมี 1-5µ ดังนั้นหน้ากากต้องกรองเสมหะที่มีขนาดเล็กที่สุด อัตราการไหลเวียน 50 ลิตร/นาที่เป็นปริมาตรของอากาศที่ไหลผ่านเข้าออกเมื่อคนสวมหายใจในขณะออกกำลังกาย)
- หน้ากากต้องสามารถทดสอบการรั่วได้ไม่เกิน 10%
- หน้ากากที่ดีต้องสวมใส่ได้กับทุกคนโดยทั่วไปไม่ควรจะมีขนาดมากกว่า 3 ขนาด
- ต้องสามารถทดสอบว่าหน้ากากมีความสมบูรณ์เพียงใดก่อนการใช้ทุกครั้ง
ชนิดของหน้ากาก
1.หน้ากากที่ใช้สวมในขณะผ่าตัด (Surgical mask)
เป็นหน้ากากทีสวมขณะผ่าตัดเพื่อป้องกันเลือด หรือเสมหะของผู้ป่วยที่จะกระเด็นเข้าปากและจมูกของหมอผ่าตัด และป้องกันเสมหะหรือน้ำลายของแพทย์ที่จะไปปนเปื้อนบริเวณที่จะผ่าตัด สามารถกรองอนุภาคได้ 5 ไมครอน จึงสามารถกันเชื้อโรคได้บางชนิด เท่านั้น โดยทั่วไปแล้วหน้ากากชนิดนี้จะใช้สำหรับกันการไอจามของผู้ป่วยออกสู่ภายนอก แต่ไม่สามารถใช้หายใจในสถานที่ที่มีเชื้อโรคหรือไวรัสที่มีขนาดเล็กได้
2.หน้ากากที่ใช้ครั้งเดียว (Disposable Particulate Respirators)
ตามมาตรฐานของ NIOSH จะมีชนิด N,R,P และมาตรฐานยุโรป EN --P1,P2,P3 ซึ่งจะมีหรือไม่มีช่องสำหรับหายใจออก (exhalation valve) ก็ได้ โดยหน้ากากอนามัยที่เหมาะจะใช้สำหรับการป้องกันเชื้อไวรัส ได้แก่ หน้ากากอนามัยชนิด N95 (Niosh) หรือ P2 (EN) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกรองอนุภาคได้ถึง 0.3 ไมครอน และประสิทธิภาพในการกรอง 95%
อย่างไรก็ตาม อาจพบปัญหาจากการใช้หน้ากากอนามัยชนิด N95 ได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด โรคปอดและทางเดินหายใจ และหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากลมหายใจจะผ่านเข้าออกได้ยากขึ้นเนื่องจากแรงต้านภายใน นอกจากนี้ หน้ากากอนามัยชนิด N95 ออกแบบมาสำหรับผู้ใหญ่ หากนำมาให้เด็กใช้ ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ
ข้อดีของหน้ากากชนิดนี้
- ใช้แล้วทิ้ง ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาด
- น้ำหนักเบาและสวมใส่ง่าย
ข้อเสียของหน้ากากชนิดนี้
- เนื่องจากการหายใจเข้าจะทำให้เกิดความดันในหน้ากากต่ำกว่าภายนอน อากาศอาจจะเล็ดรอดทางรูรั่วได้
- หน้ากากที่มีท่อสำหรับหายใจออกไม่เหมาะที่จะใช้ในห้องผ่าตัดเพราะจะทำให้บริเวณผ่าตัดสกปรก
3.หน้ากากชนิดเปลี่ยนไส้กรอง
เป็นหน้ากากที่สามารถเปลี่ยนไส้กรองอากาศได้ สามารถนำมาใช้ใหม่ แต่ต้องหมั่นทำความสะอาดแบ่งเป็นสองชนิดคือ
หน้ากากครอบครึ่งหน้า (Half-Mask Replaceable Particulate Filter Respirator)
อาจจะมีที่กรอง 1-2 ช่อง อาจจะต้องใช้ร่วมกับแว่นกันใบหน้า
ข้อดีของหน้ากากชนิดนี้
- น้ำหนักเบา ใช้ได้สะดวก
- หน้ากากนี้ทำด้วยยางใช้ได้นาน สามารถเปลี่ยนไส้กรองก็นำมาใช้ใหม่
ข้อเสียของหน้ากากชนิดนี้
- ต้องหมั่นตรวจสอบรอยรั่ว การเสื่อมของหน้ากาก การทำความสะอาด
- เนื่องจากการหายใจเข้าอาจจะทำให้การรั่วของอากาศโดยไม่ผ่าไส้กรอง
- สื่อสารกับคนอื่นลำบาก
- ไม่สามารถใช้ในห้องผ่าตัด
หน้ากากครอบเต็มหน้า (Full Facepiece Replaceable Particulate Filter Respirator) เหมือนกับชนิดข้างบนแต่มีที่สำหรับกันใบหน้า
ข้อดีของหน้ากาก
- การรั่วของอากาศน้อยกว่าชนิดครึ่งหน้า
- สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยการเปลี่ยนไส้กรอง
- ป้องกันตาจากการกระเด็นของเสมหะ
ข้อเสียของหน้ากากชนิดนี้
- ไม่สามารถใช้ในห้องผ่าตัด
- ต้องมีการทำความสะอาด ตรวจสอบรอยรั่ว
- อาจจะมีการรั่วของอากาศ
- การสื่อสารทำได้ลำบาก
- ต้องใช้แว่นตาชนิดพิเศษ